เมนู

อรรถกถามหากัมมวิภังคสูตร



มหากัมมวิภังคสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
ในสูตรนั้น บทว่า โมฆํ ได้แก่ ว่างเปล่า ไม่มีผล. บทว่า สจฺจํ
ได้แก่ แท้ มีจริง. ก็ข้อนี้อันปริพาชกโปตลิบุตรนั้น ไม่ได้ฟังมา เฉพาะ
พระพักตร์. แต่มโนกรรมอันมีโทษมากกว่าได้บัญญัติไว้แล้วในอุปาลิสูตร คำ
นี้ว่า กายกรรมไม่เป็นอย่างนั้น วจีกรรมไม่เป็นอย่างนั้น แห่งการทำกรรมชั่ว
แห่งความเป็นไปของกรรมชั่ว เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วมีอยู่ กถา
นั้นเกิดปรากฏในระหว่างเดียรถีย์ทั้งหลาย. ปริพาชกโปตลิบุตรคือเอากถานั้น
กล่าว. กล่าวคำนี้ว่า ก็สมาบัตินั้น มีอยู่ ดังนี้ หมายถึง อภิสัญญานิโรธกถา
ที่เกิดแล้ว ในโปฏฐปทสูตรว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ อภิสัญญานิโรธมีอย่างไร
หนอแล. บทว่า กิญฺจิ เวทยติ ความว่า ไม่เสวยแม้เวทนาหนึ่ง. บทว่า
อตฺถิ จ โข ความว่า พระเถระย่อมรับรู้หมายถึงนิโรธสมาบัติ. บทว่า
ปริรกฺขติพฺพํ ความว่า พึงรักษาด้วยการเปลื้องจากคำติเตียน. ความจงใจ
แห่งกรรมนั้นมีอยู่ เพราะฉะนั้น กรรมนั้นชื่อว่า สญฺเจตนิกํ แปลว่า ประ-
กอบด้วยความจงใจ อันมีความมุ่งหมาย. บทว่า ทุกฺขํ ความว่า พระเถระ
หมายถึงอุกุศลเท่านั้น จึงกล่าวอย่างนี้ ด้วยสำคัญว่าปริพาชกจะถาม บทว่า
ทสฺสนํปิ โข อหํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นสังขารแม้เพียง
เมล็ดงาในที่ประมาณหนึ่งโยชน์โดยรอบ ในที่มืดแม้มีองค์สี่ ด้วยมังสจักษุ
เทียว. ก็ปริพาชกนี้อยู่ในที่ไม่ไกล ในภายในประมาณคาวุต . ถามว่าเพราะ
เหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนั้น. ตอบว่า เพราะตรัสมุ่งถึงการเห็น
สมาคมเท่านั้น. บทว่า อุทายี คือ พระโลลุทายี. บทว่า ตํ ทุกฺขสฺมึ

ได้แก่ ทุกข์นั้นทั้งหมดเทียว. กล่าวว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พึงมีภาษิตไซร้
ดังนี้ หมายถึง วัฏฏทุกข์ กิเลสทุกข์ และสังขารทุกข์นี้ ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า อุมฺมงฺคํ ได้แก่การปรากฏออกมาของปัญญา. บทว่า อมฺมุชฺชมาโน
ได้แก่ ยื่นศีรษะ. บทว่า อโยนิโส อุมฺมุชฺชิสฺสติ ได้แก่ โผล่ศีรษะโดย
ไม่มีอุบาย.
ก็แล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้เรื่องนี้ ไม่ใช่ทรงรู้ด้วยทิพยจักษุ
เจโตปริยญาณ และสัพพัญญุตญาณ. แต่ทรงรู้ด้วยอธิบายเท่านั้น. ก็เมื่อกล่าว
ธรรมดาอธิบายก็รู้ได้โดยง่าย ผู้ประสงค์จะกล่าวย่อมยืดคอ สั้นคาง ปากของ
เขาก็ขมุบขมิบ ไม่อาจเพื่อสงบนิ่งได้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นอาการนั้น
ของพระอุทายีนั้นแล้ว ทรงดูแล้วว่า อุทายีนี้ ไม่อาจเพื่อจะสงบนิ่งได้จักกล่าว
ถ้อยคำที่ไม่เป็นจริงนั้นแล ได้ทรงรู้แล้ว. บทว่า อาทึเยว คือในเบื้องต้นนั้น
เทียว. บทว่า ติสฺโสว เทวทนา ความว่า ปริพาชกโปตลิบุตร เมื่อจะถาม
ว่า บุคคลนั้นจะเสวยอะไรก็กำหนดอย่างนี้ว่า เราจะถามเวทนาสามดังนี้ แล้ว
จึงถามเวทนาสาม. บทว่า สุขเวทนียํ ได้แก่ อันเป็นปัจจัยแห่งสุขเวทนา.
แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เช่นเดียวกัน. ก็ในที่นี้ ชื่อว่า กรรมอันให้ผลเป็นสุข
เพราะเกิดสุขเวทนาในปฏิสนธิและประวัติอย่างนี้คือ เจตนาสี่ ซึ่งสัมปยุตด้วย
จิตที่สหรคตด้วยโสมนัส โดยกามาวจรกุศล เจตนาในฌานหมวดสามเบื้องต่ำ
ก็ในที่นี้ กามาวจรย่อมยังสุขโดยส่วนเดียวให้เกิดขึ้นในปฏิสนธินั้นเทียว ย่อม
ยังอทุกขมสุขให้เกิดขึ้นในมัชฌัตตารมณ์อัน น่าปรารถนาที่เป็นไปแล้ว. อกุศล
เจตนา ชื่อว่าให้ผลเป็นทุกข์ เพราะเกิดทุกข์เท่านั้นในปฏิสนธิและประวัติ
ก็ครั้นกายทวารเป็นไปแล้ว ก็ยังทุกข์โดยส่วนเดียวนั้นให้เกิดขึ้น. ย่อมยังอทุกขม
สุขให้เกิดขึ้นในวาระอื่น. ก็เวทนานั้น ถึงอันนับว่า ทุกข์นั้นเทียว เพราะ

เกิดขึ้นในอารมณ์ทั้งหลาย อันปานกลางที่ไม่น่าปรารถนา ก็ชื่อว่า กรรมให้
ผลเป็นอทุกขมสุข เพราะเกิดเวทนาที่สามในปฏิสนธิและประวัติอย่างนี้ คือ
เวทนาสี่ที่สัมปยุตด้วยจิตอันสหรคตด้วยอุเบกขา โดยกามาวจรกุศล เวทนาใน
จตุตถฌานโดยรูปาวจรกุศล. ก็ยังอทุกขมสุขโดยส่วนเดียวให้เกิดในกามาวจร
ปฏิสนธินั้นเทียว. ยังแม้สุขให้เกิดในอิฏฐารมณ์ที่เป็นไปแล้ว. อนึ่ง กรรมที่
ให้ผลเป็นสุข ย่อมเป็นไปด้วยอำนาจแห่งความเป็นไปแห่งปฏิสนธิ กรรมที่
ให้ผลเป็นอทุกขมสุขย่อนเป็นไปเหมือนกัน กรรมที่ให้ผลเป็นทุกข์ ย่อมเป็น
ไปด้วยอำนาจแห่งความเป็นไปเหมือนกัน. ก็ด้วยอำนาจแห่งทุกข์เวทนียกรรม
นั้น กรรมทั้งหมดย่อมเป็นไปด้วยอำนาจแห่งความเป็นไปนั้น เทียว.
บทว่า เอตสฺส ภควา ความว่า พระตถาคตทรงแสดงอาลัย เพื่อ
ทรงแสดงมหากัมมวิภังค์ เราทูลขอพระตถาคตแล้ว จักกระทำมหาวิภังคญาณ
ให้ปรากฏแก่พระภิกษุสงฆ์ดังนี้ แล้วกล่าวอย่างนี้ เพราะความที่คนฉลาดใน
การเชื่อมความ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหากมฺมวิภงฺคํ ได้แก่ การ
จำแนกมหากรรม. คำว่า บุคคลสี่เป็นไฉน ดูก่อนอานนท์ บุคคลบางคนใน
โลกนี้ ฯลฯ ย่อมเข้าถึงนรกนี้ เป็นมหากัมมวิภังคญาณภาชนะ แต่ก็เป็นมาติ-
กาฐปนะ เพื่อประโยชน์แก่มหากัมมวิภังคญาณภาชนะ. คำว่า ดูก่อนอานนท์
สมณะบางคนในโลกนี้ แต่ละคำเป็นอนุสนธิ. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ปรารภถึงอนุสนธินี้ เพื่อทรงประกาศว่า สมณะหรือ พราหมณ์ทั้งหลายผู้มี
จักษุเพียงดังทิพย์ ทำอนุสนธินี้เป็นอารมณ์ได้ปัจจัยนี้ ถือทัสสนะนี้. บรรดา
บทเหล่านั้น บทว่า อาตปฺปํ เป็นต้นเป็นชื่อของความเพียร 5 ประการนั้น
เทียว. บทว่า เจโต สมาธึ ได้แก่ ทิพยจักษุสมาธิ. บทว่า ปสฺสติ ความ
ว่า ย่อมเล็งเห็นว่า สัตว์นั้น เกิดแล้ว แม้ในที่ไหน. บทว่า เย อยฺญถา
ความว่า ย่อมกล่าวว่า ชนเหล่าใดย่อมรู้ว่า บุคคลนั้น เข้าถึงนรก เพราะ

ความที่กุศลกรรมบถสิบอันตนพระพฤติแล้ว ความรู้ของชนเหล่านั้นผิด. พึง
ทราบเนื้อความในวาระทั้งปวงโดยนัยนี้. บทว่า วิทิตํ ได้แก่ ปรากฏ. บทว่า
ถามสา ได้แก่ ด้วยกำลังทิฐิ. บทว่า ปรามาสา ได้แก่ ลูบคลำด้วย
ทิฐิ. บทว่า อภินิวิสฺส โวหรติ ความว่า พูดปักลงไปยึดถือ. ก็บทว่า
ตตฺรานนฺท นี้ เป็นบทจำแนกมหากัมมวิภังคญาณ ถึงกระนั้น ก็ยังเป็นบท
ตั้งมาติกาด้วย. ก็ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงบทนี้ว่า วาทะมีประมาณ
เท่านี้ เราอนุมัติ วาทะมีประมาณเท่านี้ เราไม่อนุมัติ ตามคำของสมณะหรือ
พราหมณ์เหล่านั้น ผู้มีจักษุเพียงดังทิพย์. บทว่า ตฺตร ตฺตร คือในสมณะ
หรือพราหมณ์สี่เหล่านี้. บทว่า อิทมสฺส ตัดบทเป็น อิทํ วจนํ อสฺส แปล
ว่า คำนี้จะพึงมี. บทว่า อญฺญถา คือ โดยอาการอื่น. พึงทราบวาทะที่ทรง
อนุมัติ ไม่ทรงอนุมัติ ในบททั้งปวงอย่างนี้ว่า ทรงอนุมัติในฐานะ 2 อย่าง
ไม่ทรงอนุมัติในฐานะ 3 อย่าง ในวาทะของสมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้
ด้วยประการฉะนี้ .
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงอนุมัติ และไม่อนุมัติตามคำของ
สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีจักษุเพียงดังทิพย์อย่างนี้แล้วบัดนี้ เมื่อจะทรง
จำแนกญาณในมหากัมมวิภังค์ จึงตรัสว่า ตตฺรานนฺท ยฺวายํ ปุคฺคโล ดัง
นี้เป็นต้น . บทว่า ปุพฺเพ วสฺสสตํ กตํ โหติ ความว่า บุคคลผู้ทำกรรม
ใด อันสมณะหรือพราหมณ์นี้ ผู้มีจักษุเพียงดังทิพย์เห็นแล้ว. ก็กรรมอัน
บุคคลทำแล้วในกาลก่อนแต่นั้น บุคคลย่อมเกิดในนรกด้วยกรรมที่คนทำแล้ว
ในกาลก่อนบ้าง ย่อมเกิดด้วยกรรมที่คนทำในภายหลังบ้าง. ก็แลในมรณกาล
ก็ย่อมเกิดเหมือนกัน แม้ด้วยการเห็นผิดเป็นต้นว่า พระขันธ์ประเสริฐที่สุด
พระศิวะประเสริฐที่สุด พระพรหมประเสริฐที่สุด หรือโลกประเสริฐพิเศษด้วย
อิสระเป็นต้น. บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม ความว่า กรรมใดพึงให้ผลในปัจจุบัน.

นั้น บุคคลย่อมได้เสวยผลของกรรมนั้น ในปัจจุบันเทียว กรรมใดให้ผลเมื่อ
อุบัติ บุคคลอุบัติแล้วย่อมได้เสวยผลของกรรมนั้น กรรมใดให้ผลในลำดับถัด
ไป ย่อมได้เสวยผลของกรรมนั้น ในลำดับถัดไป. สมณะ หรือ พราหมณ์นี้ได้
เห็นกองแห่งกรรม 1 อย่าง และกองแห่งวิบาก 1 อย่าง ด้วยประการฉะนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นกองแห่งกรรม 3 อย่างและกองแห่งวิบาก 2 อย่าง
ซึ่งสมณะหรือพราหมณ์นี้ไม่เห็นแล้ว แต่ทรงเห็นกองแห่งกรรม 4 อย่างและ
กองแห่งวิบาก 3 อย่าง ซึ่งสมณะหรือพราหมณ์นี้เห็นแล้ว. ญาณในการรู้
ฐานะทั้ง 7 อย่างนี้ ชื่อว่า ญาณในมหากัมมวิภังค์ ของพระตถาคต สมณะ
หรือพราหมณ์ ผู้มีจักษุเพียงดังทิพย์ไม่เห็นอะไรในวาระที่สอง ก็ญาณในการ
รู้ฐานะ 5 อย่างแม้นี้ คือ กองแห่งกรรม 3 อย่าง กองแห่งวิบาก 2 อย่าง
อันพระตถาคตทรงเห็นแล้วดังนี้ ชื่อว่า ญาณในมหากัมมวิภังค์ของพระตคาคต
แม้ในวาระ 2 อย่างที่เหลือ ก็มีนัยนี้เช่นเดียวกัน. บทว่า อภพฺพํ ได้แก่
เว้นจากความจริง คือเป็นอกุศล. บทว่า อภพฺพาภาสํ ความว่า กรรมไม่
ควรย่อมส่องให้เห็น คือย่อมครอบงำ อธิบายว่าย่อมห้าม. ก็ครั้นเมื่ออกุศล.
กรรมมีมาก อันบุคคลทำไว้แล้ว กรรมอันมีกำลังห้ามวิบากของกรรมที่ไม่มี
กำลังย่อมทำโอกาสให้แก่วิบากของตน กรรมนี้ ชื่อว่า กรรมไม่ควรส่องให้
เห็นว่า ไม่ควร. ส่วนบุคคลทำกุศลกรรมแล้ว ทำอกุศลกรรมในเวลาใกล้ตาย.
อกุศลกรรมนั้น ห้ามวิบากของกุศลกรรม ทำโอกาสให้แก่วิบากของตน กรรมนี้
ชื่อว่า กรรมไม่ควรส่องให้เห็นว่าควร ครั้นเมื่อกุศลมากอันบุคคลแม้ทำไว้แล้ว
กรรมมีกำลัง ห้ามวิบากของกรรมที่ไม่มีกำลัง ย่อมทำโอกาสแก่วิบากของตน
กรรมนี้ ชื่อว่า กรรมควรและส่องให้เห็นว่าควร ส่วนบุคคลทำอกุศลแล้ว
ทำกุศลในเวลาใกล้ตาย กุศลกรรมนั้น ห้ามวิบากของอกุศลกรรม ทำโอกาส
ให้แก่วิบากของตน กรรมนี้ ชื่อว่า กรรมควรและส่องให้เห็นว่า ไม่ควร

อนึ่ง พึงทราบเนื้อความในที่นี้ โดยอาการที่ปรากฏ. ก็มีอธิบายดัง
นี้ กรรมใดย่อมส่องให้เห็น คือ ย่อมปรากฏโดยไม่ควร เพราะฉะนั้น กรรม
นั้น ชื่อว่า ส่องให้เห็นว่าไม่ควร. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบุคคลสี่พวก โดย
นัยเป็นต้นว่า ในบุคคลสี่พวกนั้น บุคคลนี้ใดในโลกนี้ ผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้
ตกล่วง ดังนี้. ในบุคคลสี่พวกนั้น กรรมของบุคคลพวกที่หนึ่ง ชื่อว่า กรรม
ไม่ควรส่องให้เห็นว่าไม่ควร. ก็กรรมนี้ ชื่อว่า ไม่ควร เพราะเป็นอกุศล.
กรรมที่เป็นเหตุให้เกิดในนรกนั้น ชื่อว่า เป็นอกุศลปรากฏ เพราะความที่บุคคล
พวกที่หนึ่งนั้นเกิดในนรก. กรรมของบุคคลพวกที่สอง ชื่อว่า กรรมไม่ควร
ของให้เห็นว่า ควร. ก็กรรมนั้น ชื่อว่า ไม่ควร เพราะเป็นอกุศล. ก็กรรม
ที่เป็นเหตุให้เกิดในสวรรค์ของอัญเดียรถีย์ทั้งหลาย ชื่อว่า เป็นกุศลปรากฏ
เพราะความที่บุคคลพวกที่สองเกิดในสวรรค์. กรรม 2 อย่าง แม้นอกนี้ ก็มี
นัยเช่นเดียวกัน บทที่เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถามหากัมมวิภังคสูตรที่ 6.

7. สฬายตนวิภังคสูตร



[617] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัส
แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง
สฬายตนวิภังค์แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงพึงสฬายตนวิภังค์นั้น จงใส่ใจให้ดี
เราจักกล่าวต่อไป. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชอบแล้ว พระ
พุทธเจ้าข้า.
[618] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดังนี้ว่า พวกเธอพึงทราบ
อายตนะภายใน 6 อายตนะภายนอก 6 หมวดวิญญาณ 6 หมวดผัสสะ 6
ความนึกหน่วงของใจ 18 ทางดำเนินของสัตว์ 36 ใน 36 นั้น พวกเธอ
จงอาศัยทางดำเนินของสัตว์นี้ ละทางดำเนินของสัตว์นี้ และพึงทราบการตั้งสติ
ประการที่พระอริยะเสพ ซึ่งเมื่อเสพชื่อว่า เป็นศาสดาควรเพื่อสั่งสอนหมู่
อันเราเรียกว่าสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ยอดเยี่ยมกว่าอาจารย์ผู้ฝึกทั้งหลาย นี้เป็น
อุเทศแห่งสฬายตนวิภังค์.
[619] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบอายตนะภายใน 6 นั้น เรา
อาศัยอะไรกล่าวแล้ว ได้แก่อาตนะคือจักษุ อายตนะคือโสต อายตนะคือฆานะ
อายตนะคือชิวหา อายตนะคือกาย อายตนะคือมโน. ข้อที่เรากล่าวดังนี้ ว่า
พึงทราบอายตนะภายใน 6 นั้น เราอาศัยอายตนะนี้ กล่าวแล้ว.